ยกกระชับทรวงอก ด้วยการผ่าตัด ช่วยแก้ไขปัญหา หน้าอกหย่อนคล้อยได้

ยกกระชับทรวงอก

ปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยเป็นปัญหาที่พบได้ในผู้หญิงที่เคยตั้งครรภ์และให้นมบุตร หรืออาจเกิดจากพันธุกรรมด้วยก็ได้ อาการนี้เกิดจากการสูญเสียความยืดหยุ่นของผิวหนังหลังการตั้งครรภ์ ซึ่งทำให้หน้าอกหย่อนคล้อยลงไปด้วย ผู้หญิงสามารถแก้ไขปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยได้ผ่านการผ่าตัดยกกระชับทรวงอก และปรับรูปทรงใหม่ให้สวยงามและธรรมชาติขึ้น  การศัลยกรรมผ่าตัดยกกระชับหน้าอกเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยได้

ผ่าตัดนี้จะประกอบด้วยการตัดแต่งผิวหนัง เนื้อเยื่อ และไขมันส่วนเกินออกจากหน้าอก รวมทั้งยกระดับหัวนมให้สูงขึ้น ในกรณีที่หน้าอกมีขนาดปานนมที่ใหญ่เกินไป แพทย์ศัลยกรรมอาจลดขนาดปานนมเพื่อให้สัดส่วนระหว่างหน้าอกและปานนมมีความสมดุลกัน การลดขนาดหน้าอกจะไม่สามารถทำให้หน้าอกส่วนบนหรือเนินหน้าอกเต่งเต็มตามที่ต้องการได้ทุกเคส บางกรณีอาจจะต้องมีการเสริมหน้าอกพร้อมกับการยกกระชับเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับผู้รับการผ่าตัด

สาเหตุสำคัญที่ทำให้หน้าอกดูหย่อนคล้อย

เต้านมเป็นส่วนสำคัญของร่างกายผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงตามรอบชีวิตและสถานะทางสุขภาพต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัย ซึ่งเป็นผลให้ หน้าอกหย่อนคล้อย นมยาน รูปทรงไม่สมส่วน และนมห้อย เป็นปัญหาที่มีความรุนแรงที่สร้างความกังวลแก่ผู้หญิงอย่างมาก ไม่ว่าจะเกิดจากอายุ ขนาดหน้าอก พันธุกรรม การลดน้ำหนัก หรือการให้นมบุตร การมีหน้าอกหย่อนคล้อยจะทำให้ผู้หญิงสูญเสียความมั่นใจ และมีผลกระทบในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่จะยกทรงหรือการเลือกเสื้อผ้าที่สวยงามก็จะยากลำบาก และอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตความรักของผู้หญิงด้วยดังนั้น ของเราจะมาสรุปสาเหตุที่ทำให้หน้าอกดูหย่อนคล้อยกัน

  1. การตั้งครรภ์และการให้นมบุตร: ระหว่างการตั้งครรภ์ ร่างกายของผู้หญิงจะปรับสภาพการทำงานของระบบฮอร์โมนเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมในการทำหน้าที่ให้นมแก่ลูกน้อย ๆ หลังคลอดลูกนั้นเสร็จสิ้น ระบบต่อมน้ำนมจะหยุดการผลิตนมเพื่อให้ร่างกายสามารถกลับมาสู่สภาวะปกติได้ ซึ่งอาจทำให้เต้านมมีขนาดเล็กลงและเหี่ยว
  2. การเปลี่ยนแปลงของวัย: เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยที่มากขึ้น กล้ามเนื้อและผิวหนังจะสูญเสียความยืดหยุ่นที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจทำให้เต้านมดูเล็กลงหรือไม่มีความกระชับเหมือนเดิม
  3. ความอ้วน: ความอ้วนสามารถมีผลต่อขนาดของหน้าอกได้ เพราะบางคนก็ต้องการลดรอบอก การสะสมไขมันในบริเวณหน้าอกอาจทำให้ขนาดหน้าอกใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการนมห้อยหรือนมยาน
  4. การลดน้ำหนักแบบผิดวิธี: การลดน้ำหนักโดยไม่ใช้วิธีที่ถูกต้องอาจส่งผลให้หน้าอกลดลงอย่างรวดเร็ว ผิวหนังอาจหย่อนหยาบลง และเนื้อนมอาจเหี่ยว
  5. กรรมพันธุ์: ประวัติทางกรรมพันธุ์อาจมีผลต่อลักษณะหน้าอกของบุคคล ความแตกต่างทางพันธุกรรมอาจทำให้มีความหย่อนคล้อยง่ายกว่าคนอื่น ๆ
  6. การเล่นกีฬาหรือกิจกรรมที่กระตุ้นหน้าอก: การเล่นกีฬาหรือกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อหน้าอกอย่างต่อเนื่อง อาจช่วยกระตุ้นให้เต้านมดูมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีความกระชับมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ควรจำไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างของเต้านมเป็นเรื่องธรรมชาติและสามารถพบเห็นได้ทั้งในระบบสุขภาพที่ปกติและสถานะทางสุขภาพที่เปลี่ยนแปลง ผู้หญิงควรรับรู้ถึงสาเหตุและเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เพื่อให้เข้าใจและหากใครที่ต้องการยกกระชับเราก็มีเทคนิควิธีมาฝากกัน และก่อนอื่นต้องมาดูก่อนว่าใครบ้างที่เหมาะกับการทำศัลยกรรม ยกกระชับหน้าอก

ทำศัลยกรรมยกกระชับหน้าอก

คนที่เหมาะกับการทำศัลยกรรมยกกระชับหน้าอก

การทำศัลยกรรมเต้านมเป็นกระบวนการที่หลายคนต้องการเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในร่างกายรูปร่าง อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่ถูกต้องเมื่อเลือกทำศัลยกรรมเต้านมเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย เช่น สุขภาพทั้งกายและจิตใจของผู้รับการรักษา และความคาดหวังที่เหมาะสมต่อผลลัพธ์ที่ต้องการ

  1. ผู้ที่มีปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น: การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเกิดตามอายุ อาจทำให้เต้านมของคุณแม่แหลมคลายลง การปรึกษาและตรวจสอบกับแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อประเมินสภาพร่างกายของคุณแม่และความเหมาะสมของการทำศัลยกรรมเต้านมในกรณีนี้
  2. ผู้ที่หัวนมอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าปกติ: ตำแหน่งของหัวนมอาจมีผลต่อการทำศัลยกรรมเต้านม หากคุณแม่มีหัวนมต่ำกว่าปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการทำศัลยกรรม
  3. คุณแม่ที่มีปัญหาหน้าอกยานเนื่องจากให้นมบุตร: การให้นมบุตรอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่มีปัญหาหน้าอก เช่น อาการอักเสบหรือนิ่วในเต้านม ในกรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาหรือการทำศัลยกรรมเต้านม
  4. ผู้ที่มีสุขภาพดี มีสุขภาพจิตปกติ มีความคาดหวังผลลัพธ์ที่สมเหตุสมผล: การเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจก่อนทำศัลยกรรมเต้านมเป็นสิ่งสำคัญ คุณแม่ควรให้เวลาในการพิจารณาและรับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อทราบข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการและผลที่คาดหวังได้อย่างถูกต้อง
  5. มีอายุมากกว่า 20 ปี (หากอายุน้อยกว่า 20 ปี ต้องมีจดหมายยินยอมจากผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลตามกฎหมาย): การทำศัลยกรรมเต้านมเป็นกระบวนการที่ต้องการความสำคัญและการตัดสินใจที่ถูกต้อง หากคุณแม่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี จำเป็นต้องมีการรับรองจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลทางกฎหมายเพื่อให้แน่ใจว่าคำตัดสินใจเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมเต้านมเป็นไปตามความเหมาะสมและปลอดภัย
  6. ผู้ที่ไม่ได้กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: การตัดสินใจเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมเต้านมควรพิจารณาตามสถานะปัจจุบันของคุณแม่ หากคุณแม่ไม่ได้กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร คุณแม่อาจมีโอกาสมากขึ้นในการตรวจสอบสภาพร่างกายและเตรียมความพร้อมสำหรับการทำศัลยกรรมเต้านม
  7. ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัด เช่น โรคที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Hemophilia) โรคที่มีความผิดปกติของการหายของแผล (Ehlers-Danlos Syndrome): สภาวะสุขภาพปัจจุบันของคุณแม่เป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาการทำศัลยกรรมเต้านม หากคุณแม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัด เช่น Hemophilia หรือ Ehlers-Danlos Syndrome ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเหมาะสมของการทำศัลยกรรม
  8. หากต้องการลดน้ำหนัก ควรลดน้ำหนักให้ได้ตามที่ต้องการก่อนที่จะเข้ารับการทำศัลยกรรมเต้านม: หากคุณแม่ต้องการลดน้ำหนักก่อนที่จะทำศัลยกรรมเต้านม ควรปฏิบัติตามแผนการลดน้ำหนักที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ การลดน้ำหนักที่เหมาะสมและสุขภาพอย่างดีจะช่วยลดความเสี่ยงและเตรียมความพร้อมสำหรับกระบวนการทำศัลยกรรมเต้านมให้ดีที่สุด

การทำศัลยกรรมยกกระชับทรวงอกเนื่องจากหน้าอกใหญ่ เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ควรพิจารณาและรับคำแนะนำจากแพทย์อย่างเคร่งครัดก่อนตัดสินใจ เพื่อให้การทำศัลยกรรมเต้านมเป็นประสบการณ์ที่ปลอดภัยและมีผลลัพธ์ที่เหมาะสมต่อความคาดหวัง

ขั้นตอนการผ่าตัดยกกระชับทรวงอก

เทคนิคและขั้นตอนการผ่าตัดยกกระชับทรวงอก

ในปัจจุบันมีการแบ่งออกเป็น 4 เทคนิคหลัก ได้แก่ เทคนิคกระชับทรวงอกแบบแผลรูปสมอเรือ (Anchor), เทคนิคกระชับทรวงอกแบบแผลแนวตั้ง (Lollipop), เทคนิคกระชับทรวงอกแบบแผลรูปตัว O (O-Scar/Donut) และเทคนิคกระชับทรวงอกแบบแผลเสี้ยวพระจันทร์ (Crescent) แต่ละเทคนิคนั้นแตกต่างกันตามวิธีการเปิดแผล การเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับระดับความหย่อนคล้อยของหน้าอกของแต่ละบุคคล

เทคนิคที่ 1 คือ เทคนิคกระชับทรวงอกแบบแผลรูปสมอเรือ (Anchor)

เป็นเทคนิคแรกที่นำเสนอ โดยเปิดแผลที่บริเวณปานนมด้านล่าง หากมีความจำเป็นในการลดขนาดหน้าอก จะต้องทำการตัดเนื้อหน้าอกเกินออกด้วย แต่ถ้าคนไข้ต้องการยกกระชับทรวงอกพร้อมกับการใส่ซิลิโคน จะต้องมีการตัดแต่งผิวหนังเพื่อให้หน้าอกกระชับ นอกจากนี้ เทคนิคนี้ยังสามารถย้ายตำแหน่งปานนมได้อีกด้วย

เทคนิคที่ 2 คือ เทคนิคกระชับทรวงอกแบบแผลแนวตั้ง (Lollipop)

เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก โดยการเปิดแผลรอบปานนมและไม่ถึงใต้ราวนม จากนั้นจะต้องทำการตัดผิวหนังส่วนเกินออก และย้ายตำแหน่งหัวนมให้สูงขึ้น ซึ่งผิวหนังที่อยู่ด้านนอกและด้านในจะถูกขยับให้มาอยู่ตรงกึ่งกลาง

เทคนิคที่ 3 คือ เทคนิคกระชับทรวงอกแบบแผลรูปตัว O (O-Scar/Donut)

เป็นเทคนิคที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงเล็กน้อย โดยการตัดแต่งผิวหนังรอบปานนม จากนั้นทำการเย็บผิวหนังเข้าหาหัวนมเพื่อให้หน้าอกกระชับมากยิ่งขึ้น

เทคนิคที่ 4 คือ เทคนิคกระชับทรวงอกแบบแผลเสี้ยวพระจันทร์ (Crescent)

เป็นเทคนิคที่ใช้การเปิดแผลเล็กที่สุด และเหมาะสำหรับผู้ที่มีหน้าอกหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย โดยการยกปานนมและหัวนมขึ้น ซึ่งเทคนิคนี้สามารถยกระดับปานนมได้ประมาณ 2-3 ซม. และยกหัวนมได้ประมาณ 1-2 ซม.

ผ่าตัดยกกระชับทรวงอก

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดยกกระชับทรวงอก

ยกกระชับทรวงอก ที่ไหนดีและต้องมีการเตรียมตัวก่อนอย่างไร เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อให้กระบวนการผ่าตัดเป็นไปได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยอย่างแน่นอน ดังนั้น ขั้นตอนและข้อมูลที่สำคัญที่ควรทราบก่อนการผ่าตัดกระชับทรวงอกคือดังต่อไปนี้:

  1. แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวที่คุณมี ประวัติการรักษาที่ผ่านมา ยาที่คุณกำลังใช้ และประวัติการแพ้ยาหรืออาหารที่คุณมีก่อนการผ่าตัด
  2. ควรหยุดพวกอาหารเสริมที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี แปะก๊วย หรือโสม อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
  3. หากใครที่สูบบุหรี่ควรงดก่อนอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
  4. พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงต่อวัน
  5. อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายรวมถึงการตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องการเกาเวลาคันแผล
  6. แจ้งแพทย์หากมีฟันโยกภายในช่องปากเพื่อป้องกันเลือดไหลระหว่างการผ่าตัด
  7. เลือกสวมเสื้อผ้าที่หลวม ๆ สีเข้มและง่ายต่อการใส่ แนะนำให้ใช้เสื้อผ้าที่มีกระดุมด้านหน้า
  8. ควรมีญาติหรือเพื่อนมาด้วย และห้ามขับรถกลับเองหลังการผ่าตัด

การดูแลหลังผ่าตัดกระชับทรวงอก

การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อให้แผลหายได้เร็วขึ้นและป้องกันอาการและภาวะที่ไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้น ขั้นตอนและคำแนะนำที่ควรทราบเพื่อดูแลตัวเองหลังผ่าตัดกระชับทรวงอกคือดังนี้:

  1. ระมัดระวังที่แผลและหลีกเลี่ยงให้น้ำไหลลงบนแผลผ่าตัดจนกว่าแผลจะแห้ง
  2. ระหว่างที่ผ่าตัดเสร็จใหม่ ๆ อาจมีอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้ที่เกิดจากยาสลบ แต่จะหายไปในเวลาไม่กี่วัน
  3. ควรรักษาแผลผ่าตัดให้สะอาดและเปลี่ยนผ้ายางปิดแผลตามคำแนะนำของแพทย์
  4. การนอนควรนอนในท่านอนหงายและยกหัวสูงกว่าระดับหัวใจโดยใช้หมอนสูงหรือหมอนรองคอ
  5. ควรสวมซัพพอร์ตบราเพื่อปกป้องเต้านมตามคำแนะนำของแพทย์
  6. ห้ามยกของหนักและออกกำลังกายหนักที่เกิดแรงกระแทกอย่างน้อย 1 เดือนหลังผ่าตัดกระชับทรวงอก
  7. ห้ามรับประทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ อาหารหมักดอง และอาหารทะเลเพื่อลดโอกาสที่แผลจะติดเชื้อจากเชื้อโรคที่อาจปะปนมากับอาหาร
  8. เพื่อให้คำแนะนำและข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดกระชับทรวงอกเป็นไปอย่างเต็มที่และเป็นรูปแบบที่ดีที่สุด กรุณาปรึกษาแพทย์ของคุณเพื่อข้อมูลและคำแนะนำที่เป็นทางการ

สรุป

การผ่าตัดเพื่อยกกระชับทรวงอกจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนในการเริ่มแสดงผลชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม รอยแผลที่เกิดจากการผ่าตัดอาจยังอยู่คงที่ได้ตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่สามารถเห็นชัดหรืออยู่นอกร่มผ้าได้ การเปลี่ยนแปลงของหน้าอกขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุและแรงโน้มถ่วงของร่างกาย หน้าอกใหม่จะสามารถคงอยู่ได้นานขึ้นหากคุณดูแลรักษาน้ำหนักให้คงที่ รักษาสุขภาพที่ดี และมีการพยุงหน้าอกให้แน่นกระชับอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยเพิ่มเวลาให้การหย่อนคล้อยออกไปอีกด้วย