ตัดไขมันกระพุ้งแก้ม ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก หมดปัญหาแก้มป่อง

ตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

การผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้มเป็นการแก้ปัญหาปรับรูปหน้าอูบ บวม แก้มป่องเปลี่ยนให้มีใบหน้าที่เล็กเรียวขึ้นได้ กระบวนการนี้มีการผ่าตัดเพื่อลดขนาดแก้มโดยการเอาไขมันที่มีอยู่ในบริเวณกระพุ้งแก้มออกจากใบหน้า ปัญหาของไขมันที่สะสมอยู่บนใบหน้าเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อรูปร่างใบหน้าทำให้ดูกลมและมีแก้มที่โดดเด่น ทำให้เสียความมั่นใจไปด้วย

ในปัจจุบันมีหลายวิธีในการแก้ไขปัญหานี้ เช่นการลดน้ำหนักและการออกกำลังกาย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ลดน้ำหนักได้แล้วแก้มจะลดลง ดังนั้น บางคนเลือกทางเลือกในการฉีดสารเพื่อละลายไขมัน อย่างไรก็ตามวิธีการที่มีประสิทธิภาพและเห็นผลมากที่สุดคือการผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

ไขมันกระพุ้งแก้มคืออะไร?

ไขมันที่กระพุ้งแก้มหรือ Buccal Fat Pad คือ ไขมันที่อยู่ใต้กล้ามเนื้อบริเวณแก้มทั้งสองข้างของใบหน้า ชิดกับผิวเหงือกส่วนกระพุ้งแก้มด้านใน และมีความเป็นกระเปาะเนื้อได้อย่างมีอยู่แต่เกิดมา ไขมันที่กระพุ้งแก้มสามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วนหลัก ซึ่งมีบทบาทในการสร้างรูปร่างแก้มที่ดูป่องหรือทรงกลม และมีความนุ่มนวล ส่วนส่วนประกอบดังต่อไปนี้:

1. ไขมันกระพุ้งแก้ม: เป็นไขมันที่อยู่ติดตัวตั้งแต่เกิดและติดกับชั้นกล้ามเนื้อตามนิยามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ปริมาณไขมันกระพุ้งแก้มแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับขนาดและโครงสร้างร่างกายที่ไม่เหมือนกัน เราสามารถสังเกตเห็นได้จากคนที่มีรูปร่างผอมหรือสมส่วน แต่ยังมีโครงหน้าที่เป็นกลมหรือมีแก้มเยอะ

2. ไขมันใต้ผิว: เป็นชั้นไขมันส่วนเกินที่กระพุ้งแก้มซึ่งไม่ต่างจากไขมันส่วนเกินที่พบในแขน หน้าท้อง หรือต้นขา เป็นไขมันที่สะสมโดยไม่ดีที่เกิดจากการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น อาหารทอด อาหารมัน ขนมหวาน อาหารที่มีน้ำตาลสูง เป็นต้น

ไขมันกระพุ้งแก้ม

สาเหตุที่ทำให้เกิดไขมันกระพุ้งแก้ม

ไขมันที่กระพุ้งแก้มเกิดจากหลายปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่าไขมันในบริเวณนี้ของบุคคลแต่ละคน ดังนี้:

  • โครงสร้างกระดูกและสัดส่วนของไขมันกระพุ้งแก้มแตกต่างกันไปหรือแก้มไม่เท่ากันในแต่ละบุคคล บางคนอาจมีโครงสร้างกระดูกแก้มที่ทำให้มีพื้นที่ให้ไขมันสะสมมากขึ้น และสามารถเกิดไขมันกระพุ้งแก้มได้มากขึ้น
  • การบริโภคอาหารที่มีปริมาณไขมันสูงเป็นระยะเวลานาน รวมถึงขาดการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมัน ส่งผลให้มีการสะสมไขมันในบริเวณกระพุ้งแก้มมากขึ้น และทำให้ใบหน้าดูใหญ่ขึ้น แก้มนูนขึ้นกว่าเดิม
  • การเพิ่มของอายุมีผลต่อสภาพของผิวหนังและระบบรอยสักที่รักษาความยืดหยุ่นของแก้ม ทำให้ผิวแก้มหย่อนคล้อยลง และบางครั้งอาจทำให้เกิดเนื้อเยื่อไขมันสะสมใต้ผิวบริเวณกระพุ้งแก้ม ทำให้กระพุ้งแก้มดูหนาขึ้น หรือเป็นก้อน

หากต้องการลดไขมันกระพุ้งแก้ม สามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมัน และดูแลผิวหนังอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาความยืดหยุ่นและป้องกันการสะสมไขมันใต้ผิวบริเวณกระพุ้งแก้ม อีกทั้งควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและสุขภาพ เพื่อขอคำแนะนำและแผนการลดไขมันที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล

วิธีลดไขมันกระพุ้งแก้มมีอะไรบ้าง

การลดไขมันที่กระพุ้งแก้มมีวิธีหลายวิธี แต่วิธีหลักๆ จะมีทั้งหมด 4 วิธี ดังนี้

  • การควบคุมอาหารและออกกำลังกาย: การรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลอรีต่ำและเป็นอาหารที่เหมาะสมต่อร่างกายจะช่วยลดไขมันที่กระพุ้งแก้มได้ นอกจากนี้ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเช่น เดินเร็วหรือวิ่งเพื่อเผาผลาญไขมันที่กระพุ้งแก้ม
  • การดูดไขมันบริเวณกระพุ้งแก้ม: วิธีนี้เป็นการใช้เทคนิคการดูดไขมันออกจากบริเวณกระพุ้งแก้มโดยใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดไขมันในบริเวณนั้นได้ แต่การดูดไขมันนี้อาจมีความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวหลังการทำมากขึ้น ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนพิจารณาใช้วิธีนี้
  • การฉีดยาหรือสารสลายไขมัน เช่น เมโสแฟต (Meso Fat): วิธีนี้เป็นการฉีดสารลงในบริเวณกระพุ้งแก้มที่ช่วยลดไขมันในบริเวณนั้น สารสลายไขมันจะทำลายเซลล์ไขมันและช่วยลดขนาดของกระพุ้งแก้มได้ การฉีดสารสลายไขมันนี้ควรทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญในการดำเนินการ
  • การผ่าตัดเพื่อตัดไขมันที่กระพุ้งแก้มออก: วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยใช้กระบอกลำไส้เล็กผ่านรูปากเพื่อตัดไขมันที่กระพุ้งแก้มออก วิธีนี้มีผลการรักษาที่เห็นได้ชัดเจนและรวดเร็ว แต่จะต้องใช้ความระมัดระวังในการดูแลหลังผ่าตัด เช่น การควบคุมอาหารและการทำกิจวัตรประจำวัน นอกจากนี้ยังต้องปฏิบัติตามคำแนะนำและเฝ้าระวังอาการหลังผ่าตัดจากแพทย์เสมอ

วิธีลดไขมันที่กระพุ้งแก้มนี้ควรพิจารณาให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง และควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ

ผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

ผู้ที่เหมาะกับการผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

ผู้ที่มีปัญหาแก้มป่องคล้ายถุงกระเปราะที่แก้มและต้องการตัดไขมันกระพุ้งแก้มมีตัวเลือกที่เหมาะสมในการแก้ปัญหานี้ ปัญหาแก้มป่องนี้เกิดจากพันธุกรรมและมักเกิดขึ้นในช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไป ในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์แรกหลังจากผ่าตัด เราจะพบว่ามีอาการบวมที่แก้มคล้ายกับการผ่าตัดผ่าฟันคุด แต่คนไข้สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ อาการบวมจะค่อย ๆ ลดลงในช่วง 3-7 วัน หลังจากนั้นแก้มจะเริ่มค่อย ๆ เข้าสู่ที่ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 1 เดือน และเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วง 2-4 เดือน

จุดเด่นและจุดด้อยของการผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

จุดเด่น

การตัดไขมันกระพุ้งแก้มเป็นวิธีลดไขมันที่ได้รับความนิยมเนื่องจากมีจุดเด่นที่สำคัญต่อไปนี้:

  1. ผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจน: การตัดไขมันกระพุ้งแก้มสามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว โดยเห็นขนาดแก้มที่ลดลงและการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้าภายในไม่กี่เดือนหรืออาจเห็นผลทันทีหลังการผ่าตัดเสมอก็ได้
  2. ผลลัพธ์ที่ชัดเจน: เมื่อเปรียบเทียบกับการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร การตัดไขมันกระพุ้งแก้มสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีการสะสมไขมันที่กระพุ้งแก้มตามพันธุกรรมหรือโครงสร้างใบหน้าที่มากเดิม
  3. ผลลัพธ์ยาวนาน: การตัดไขมันกระพุ้งแก้มเป็นวิธีที่สามารถตัดไขมันออกอย่างถาวรได้ เนื่องจากการผ่าตัดจะนำไขมันที่อยู่ในชั้นไขมันกระพุ้งแก้มออก ไม่ใช่ไขมันส่วนเกินที่อยู่ใต้ผิว ซึ่งทำให้ส่วนไขมันที่ถูกตัดออกไม่มีโอกาสกลับมาเกิดขึ้นใหม่หรือสะสมอีกครั้ง
  4. ไม่ต้องทำซ้ำบ่อย: ต่างจากการดูดไขมันหรือฉีดสารสลายไขมันที่ต้องทำซ้ำเป็นประจำทุก 1-3 เดือน การตัดไขมันกระพุ้งแก้มไม่ต้องกลับมาทำใหม่บ่อย ๆ
  5. การผ่าตัดไม่ใหญ่มากและแผลเล็ก: การตัดไขมันกระพุ้งแก้มมีขนาดไม่ถึง 3 เซนติเมตรเท่านั้น ทำให้ไม่ต้องเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดมากเกินไปและไม่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานเกินไป

จุดด้อย

การตัดไขมันที่กระพุ้งแก้มเป็นวิธีหนึ่งในการลดไขมันและเพิ่มความมั่นใจในรูปร่างของบางคน อย่างไรก็ตาม การตัดไขมันกระพุ้งแก้มยังมีข้อจำกัดและควรพิจารณาให้ดีก่อนที่จะตัดไขมันดังกล่าว ซึ่งสิ่งที่ควรคำนึงถึงได้แก่:

  1. ความเสี่ยงต่อสุขภาพ: การตัดไขมันกระพุ้งแก้มอาจมีความเสี่ยงสำหรับบางกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวหรือสภาวะที่เป็นอันตราย เช่น โรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด โรคการแข็งตัวของเลือด หรือการใช้ยาละลายลิ่มเลือด รวมถึงผู้ที่มีปัญหาด้านระบบประสาท ผิวหนังอักเสบหรือโรคผิวหนังที่ยังไม่หายขาด ผู้ป่วยเบาหวานหรือโรคประสาท เป็นต้น สำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาสลบและยาชาก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
  2. ความกลัวและความไม่เหมาะสม: การตัดไขมันกระพุ้งแก้มอาจสร้างความกลัวและความไม่เหมาะสมให้กับบางคนที่มีความกลัวจากเข็มฉีด มีด หรือการผ่าตัดอย่างมาก กลุ่มผู้เข้ารับบริการที่มีความกลัวเหล่านี้อาจต้องพิจารณาใช้วิธีอื่นในการลดไขมันกระพุ้งแก้มแทน
  3. การกลับมาของไขมัน: ถึงแม้ว่าการตัดไขมันที่กระพุ้งแก้มจะช่วยกำจัดไขมันออกไปได้ แต่หากผู้เข้ารับบริการยังคงบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง ไม่ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และไม่ออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน จะทำให้เนื้อแก้มเก่ากลับมาสะสมเยอะขึ้น ซึ่งอาจทำให้เนื้อแก้มกลับเติบโตอีกครั้ง

ดังนั้น การตัดไขมันที่กระพุ้งแก้มไม่ใช่วิธีที่เหมาะสำหรับทุกคน สิ่งนี้จำเป็นต้องพิจารณาโดยแพทย์เฉพาะทาง และควรพิจารณาพฤติกรรมส่วนตัวของผู้เข้ารับบริการด้วย

การผ่าตัดใช้เวลานานไหม กี่เดือนเห็นผล

การตัดไขมันกระพุ้งแก้ม เป็นกระบวนการที่ได้รับความนิยมในการแก้ปัญหากระพุ้งแก้มที่มีอยู่และทำให้ใบหน้าดูกว้างเกินไป การตัดไขมันนี้มักถูกทำโดยแพทย์ผ่าตัดเท่านั้น โดยการทำใช้เวลาไม่นานเท่านั้น ประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของกระบวนการและปริมาณไขมันที่ต้องตัดออก

หลังจากที่ผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้มแล้ว จะใช้เวลาในการดูผลการรักษา โดยจะมีการเห็นผลลัพธ์เมื่อแผลบวมลดลงและเนื้อสมานตัวเข้ากับเนื้อเยื่อเดิมภายในกระพุ้งแก้ม ซึ่งผู้ที่เข้ารับบริการจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของโครงหน้าที่เนื้อแก้มน้อยลงได้ ระยะเวลาที่จำเป็นในการเห็นผลสามารถคาดเดาได้ในช่วง 1-6 เดือนหลังจากการผ่าตัด ซึ่งอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการฟื้นตัวของแต่ละบุคคล

การผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

บทสรุปของการผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

หลังจากการผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้มมีโอกาสที่จะเกิดการเนื้อแก้มกลับมาอีกครั้ง แม้ว่าชั้นไขมันกระพุ้งแก้มจะถูกตัดออกไป แต่ส่วนไขมันส่วนเกินใต้ผิวอาจเพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมและขาดการออกกำลังกาย ดังนั้น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับโครงสร้างใบหน้าที่เปลี่ยนแปลง ผู้ที่ผ่านการรักษาควรมีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเริ่มต้นการดูแลตนเองที่เหมาะสม คุณสามารถทำตามขั้นตอนเหล่านี้:

  • ควรกินอาหารที่ประกอบไปด้วยโปรตีนที่เพียงพอและสมดุล รวมถึงผักและผลไม้ที่มีสีสันหลากหลาย เพื่อให้ได้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการฟื้นตัวและสร้างเนื้อเยื่อใหม่
  • การดื่มน้ำมีความสำคัญสูงสุดเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า คุณควรดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำไม่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน และเพิ่มปริมาณน้ำในกรณีที่คุณออกกำลังกายหรืออยู่ในสภาวะที่ร้อนและมีการสูญเสียน้ำเป็นจำนวนมาก
  • คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เหมาะสมสำหรับประเภทผิวของคุณ เช่น ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและผสมสบู่ล้างหน้าที่เป็นส่วนผสมอ่อนโยน อย่าลืมทาครีมบำรุงผิวหน้าที่มีสารช่วยในการรักษาความชุ่มชื่นและยืดหยุ่น
  • การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและส่งเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ คุณสามารถเลือกทำกิจกรรมที่คุณชื่นชอบ เช่น เดินเร็วหรือวิ่ง ออกกำลังกายแบบเชิงกล้ามเนื้อ เลือกกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแก้ม
  • การหลับพักเพียงพอช่วยฟื้นฟูร่างกายและผิวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ควรพยายามหลับให้เพียงพอประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน

ด้วยการดูแลตนเองดังกล่าว คุณสามารถเพิ่มโอกาสในการที่ใบหน้าของคุณจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยาวนานขึ้นได้ จำไว้ว่าการดูแลตนเองเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด