SPF คือ ค่าที่บอกว่าครีมกันแดดสามารถป้องกันรังสี UVB ได้กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีค่า SPF ระหว่าง 15-50 โดยค่า SPF สูงกว่านี้จะมีความสามารถในการป้องกันแดดมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันแดดได้เต็มที่ และไม่ควรใช้ค่า SPF ต่ำกว่า 15 เพราะอาจไม่เพียงพอในการป้องกันแดดได้
การทากันแดด 2 ข้อนิ้วที่มี SPF สูงและสามารถป้องกันแดดได้จริงนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก โดยควรเลือกครีมที่มี SPF อย่างน้อย 30 และมีคุณสมบัติที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB พร้อมกับคุณสมบัติที่ช่วยบำรุงผิว เช่นครีมที่มีส่วนผสมของวิตามิน C, E, และสารต้านอนุมูลสร้างให้ผิวมีความชุ่มชื้นและสุขภาพดี นอกจากนี้ยังควรเลือกครีมที่ไม่มีสารกันแสงที่เป็นพิษต่อร่างกาย เช่น oxybenzone, octinoxate และ octocrylene
นอกจาก SPF แล้ว ยังมีค่า PA ซึ่งเป็นการบอกค่าความคุ้มครองของครีมกันแดดต่อการส่องแสง UVA โดยมีการจำแนกเป็นระดับต่าง ๆ เช่น PA+, PA++, หรือ PA+++ โดยค่า PA+++ จะมีความคุ้มครองสูงสุดต่อการส่องแสง UVA นอกจากนี้ การเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมยังขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วย เช่น ผิวแห้งจะต้องใช้ครีมกันแดดที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ผิวมันจะต้องใช้ครีมกันแดดที่ไม่มีน้ำมันเกินไปเพื่อป้องกันการเป็นสิว และผิวที่มีสิวอาจต้องหลีกเลี่ยงครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของเคมีค่อนข้างสูง
ดังนั้นการเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมและการป้องกันแสงแดดให้เหมาะสม จะช่วยป้องกันความเสียหายจากแสงแดดต่อผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในแสงแดดในช่วงเวลาที่แดดแรงสุด เช่น ช่วงเวลาเที่ยงคืนถึง 3 โมงเย็น และใช้ผ้าคลุมตัวหรือที่คลุมหน้าผากและใช้อุปกรณ์ป้องกันแสงอย่างถูกต้องเมื่อต้องอยู่ในแสงแดดในระยะเวลานาน ๆ ด้วยเช่นกัน
SPF คือ อะไร ค่า SPF กับ PA มีความแตกต่างกันอย่างไร
SPF และ PA เป็นค่าที่ใช้ในการวัดปริมาณการป้องกันแสงแดดของผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เช่น ครีมหน้า, โลชั่นกันแดด เป็นต้น
ค่า SPF คือ ค่าที่บอกถึงความสามารถในการป้องกันผิวหน้าจากแสงแดดที่มีความเข้มข้นต่าง ๆ ค่า SPF จะบอกว่าผลิตภัณฑ์เสริมความงามสามารถป้องกันผิวหน้าจากแสงแดดได้มากน้อยแค่ไหน โดยมักจะมีค่า SPF ระหว่าง 15-50 และสูงสุดอยู่ที่ 100
ส่วนค่า PA หมายถึง Protection Grade of UVA ซึ่งเป็นค่าที่บอกถึงความสามารถในการป้องกันผิวหน้าจากแสง UVA ซึ่งเป็นแสงที่เข้ามากระทบต่อผิวหน้าและสามารถทำให้เกิดภาวะหมองคล้ำและเสียหายได้ ค่า PA จะมีระดับตั้งแต่ PA+, PA++, PA+++ และสูงสุดคือ PA++++
ดังนั้น ค่า SPF และ PA เป็นค่าที่แตกต่างกันตามประเภทของแสงที่มีความเข้มข้นต่าง ๆ และการป้องกันผิวหน้าจากผลของแสงเหล่านี้ โดยค่า SPF จะวัดความสามารถในการป้องกันแสง UVB ในขณะที่ค่า PA จะวัดความสามารถในการป้องกันแสง UVA ดังนั้นเมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมความงามควรพิจารณาค่า SPF และ PA ทั้งคู่เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์
SPF สามารถป้องกันรังสีอะไรได้บ้าง
SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor ซึ่งเป็นค่าที่บอกความสามารถในการป้องกันผิวหน้าจากแสงแดดที่มีความเข้มข้นต่าง ๆ โดยเฉพาะแสง UVB (Ultraviolet B) ที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งเป็นแสงที่เป็นสาเหตุของการเกิดผิวหนังแดงและการไหม้ของผิวหน้า นอกจากนี้ ค่า SPF ยังสามารถป้องกันรังสีอื่น ๆ ได้บ้าง ได้แก่
- รังสี UVA (Ultraviolet A) : มีความเข้มข้นน้อยกว่า UVB แต่สามารถเข้าทำลายเนื้อเยื่อผิวหน้าในระยะยาวได้ เช่น สร้างเส้นย่อยใต้ผิวหนัง การใช้ SPF สูงสามารถช่วยป้องกันการเกิดภาวะเหลืองหรือเสียหายของผิวหน้าจากแสง UVA
- รังสี Infrared : สามารถสร้างความร้อนบนผิวหน้าและทำให้เกิดเส้นย่อยใต้ผิวหนังได้ การใช้ SPF สูงสามารถช่วยป้องกันการเกิดเส้นย่อยใต้ผิวหนังจากรังสี Infrared
- รังสี Visible : เป็นแสงที่มองเห็นได้และสามารถเข้าทำลายเซลล์ผิวหน้าได้ การใช้ SPF สูงสามารถช่วยป้องกันการเสียหายของผิวหน้าจากแสง Visible
นอกจากนี้ยังมีวิธีการป้องกันผิวหน้าจากการเสียหายจากรังสีอื่น ๆ อีกหลายวิธี เช่น การสวมหมวกกันแสงแดด การหลีกเลี่ยงการอยู่ใต้แสงแดดในช่วงเวลาที่มีความเข้มข้นสูง เช่น ตอนเช้าหรือตอนบ่าย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เป็นพิกัดสูง การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซีหรือแอลกอฮอล์ก็สามารถช่วยป้องกันผิวหน้าจากการเสียหายจากรังสี UV ได้ดีเช่นกัน ดังนั้นการป้องกันผิวหน้าจากการเสียหายของรังสีไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มี SPF และ PA เท่านั้น แต่สามารถใช้วิธีการอื่น ๆ เพื่อป้องกันการเสียหายของผิวหน้าจากรังสีได้อีกด้วย
จำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ
การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงมีความจำเป็นอย่างมาก เนื่องจากผิวหน้าเป็นส่วนที่ได้รับแสงแดดโดยตรงและมีโอกาสได้รับแสงแดดในระยะยาวนาน เช่น เมื่ออยู่นอกบ้าน อยู่ใต้แสงแดดเป็นเวลานาน เป็นต้น ซึ่งการได้รับแสงแดดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะผิวหน้าแห้ง และอาจเสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอยและเป็นเป็นต้น
SPF คือ ค่า SPF หรือ Sun Protection Factor บอกว่าสารกันแดดสามารถป้องกันการเผาผิวหรือการเสียหายจากแสงแดดได้เป็นเท่าไหร่ ยิ่งค่า SPF สูง แสงแดดที่ผ่านผิวหน้าจะน้อยลง และเส้นเลือดผิวหนังจะได้รับความเสียหายน้อยลงด้วย ซึ่งจะช่วยป้องกันการเสียหายของผิวหน้าจากแสงแดดและลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะผิวหน้าแห้ง ริ้วรอย และมะเร็งผิวหนังได้ ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง จึงเป็นการปกป้องผิวหน้าจากการเสียหายของรังสีแดดที่เป็นอันตรายในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความจำเป็นอย่างมากในปัจจุบัน
SPF สามารถทนแดดได้กี่ชั่วโมง
ค่า SPF บอกความสามารถในการปกป้องผิวหน้าจากแสงแดด ซึ่งสามารถทนแดดได้ตามความเข้มของ SPF ดังนี้
- SPF 15: ทนแดดได้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง
- SPF 30: ทนแดดได้ประมาณ 4-6 ชั่วโมง
- SPF 50: ทนแดดได้ประมาณ 6-8 ชั่วโมง
- SPF 100: ทนแดดได้ประมาณ 8-10 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตามวิธีกระชับช่องคลอดแบบเร่งด่วน หรือการทนแดดขึ้นอยู่กับความเข้มของแสงแดด ปริมาณแสงแดดที่ผิวหน้าได้รับ และการเลือกใช้ครีมกันแดดให้ถูกต้องและเพียงพอ ดังนั้นหากอยู่ใต้แสงแดดนานกว่าเวลาที่ค่า SPF บอกไว้ จะต้องเสี่ยงต่อการเผาผิวหรือเสียหายจากแสงแดดได้เหมือนเดิม
การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่ถูกต้องตามหลักการควรทำอย่างไร
SPF คือ การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่ถูกต้องต้องทาให้ถูกวิธีตามหลักการดังนี้
- เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงพอสมควรตามสภาพแวดล้อม ซึ่งค่า SPF ควรอยู่ระหว่าง 30-50 หรือสูงกว่านั้นถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงแดดมาก หรือไปกิจกรรมกลางแจ้งในเวลากลางวัน
- ทาครีมกันแดดให้ถูกต้อง โดยใช้ปริมาณที่เพียงพอ ซึ่งควรเท่ากับปริมาณที่มือขนาดกลางใช้ ทาครีมทั่วหน้า และให้เวลาให้ครีมกันแดดซึมเข้าสู่ผิวหน้าเพียง 15-20 นาทีก่อนออกแดด
- ทาครีมกันแดดบ่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อเราได้อยู่ภายนอกในระยะเวลานาน หรือกำลังกิจกรรมกลางแจ้งในเวลากลางวัน
- อย่าลืมทาครีมกันแดดให้ทั่วกันหน้า ไม่ว่าจะเป็นบนผิวหน้า คอ และมือ โดยเฉพาะในบริเวณที่แสงแดดเข้าถึงได้ง่าย
- ใช้ครีมกันแดดให้ถูกต้องตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในห้องทำงานหรืออยู่ภายนอก ซึ่งควรใช้ครีมกันแดดแบบซึมซาบเร็ว เพื่อไม่ให้ระคายเคืองในการใช้งาน
- หากมีการว่ายน้ำหรือเหงื่อออกมาก ควรทาครีมกันแดดใหม่ทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวหน้าได้รับการป้องกันครบถ้วน
- อย่าลืมทำความสะอาดผิวหน้าด้วยสบู่หรือเจลล้างหน้าก่อนทาครีมกันแดด เพื่อให้ผิวหน้าสะอาดและไม่มีความเสียหายเมื่อถูกโดนแสงแดด
- เมื่อใช้ครีมกันแดดแล้วรู้สึกคล้ายเป็นความร้อนบนผิวหน้า ควรหยุดใช้และหาที่ร่มรื่นหรือใช้ผลิตภัณฑ์อื่นแทน
- หลีกเลี่ยงการใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ไม่ได้รับการตรวจสอบความปลอดภัย เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพได้
- แต้มครีมกันแดด 5 จุดลงบนใบหน้า (หน้าผาก, แก้มทั้ง 2 ข้าง, จมูก และคาง) และเกลี่ยครีมให้ทั่วหน้า เพื่อให้ครีมกระจายทั่วทั้งใบหน้า