ปัจจุบันวิถีชีวิตเปลี่ยนไป คนออกกำลังกายน้อยลงและกินน้ำตาลมากขึ้นซึ่งส่งผลให้อ้วนโดยไม่รู้ตัวปัญหาการลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่หลายคนต้องเจอ แม้การลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ก็มีหลาย ๆ คนที่ไม่สามารถลดน้ำหนักด้วยวิธีปกติได้ การผ่าตัดกระเพาะจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในยุคนี้
แม้ว่าชื่อการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะจะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่ความจริงแล้วการผ่าตัดกระเพาะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่มีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่นเดียวกับการผ่าตัดมดลูกผ่านกล้องหรือนิ่วในถุงน้ำดี อย่างไรก็ตาม หากรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ในการรักษา ในการผ่าตัดก็ประสบผลสำเร็จและลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะในปัจจุบันมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมากเนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแผลผ่าตัดกระเพาะ จะเล็กขนาดเพียง 1-2 นิ้วเท่านั้น เจ็บน้อย และสามารถฟื้นตัวได้เร็ว รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงอื่น ๆ ในการผ่าตัดได้อีกด้วย
แผล ผ่าตัดกระเพาะ เป็นอย่างไร
การผ่าตัดกระเพาะ แพทย์จะทำเป็นรูเล็ก ๆ ประมาณ 0.5 ซม. 3 จุด และ 1 ซม. แผลจากการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารนั้นเป็นเพียงแผลขนาดเล็กบริเวณหน้าท้องจำนวน 5 แผล ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 1.5 – 2 ชั่วโมง แพทย์จะพิจารณาการผ่าตัดโดยอาจทำการผ่าตัดกระเพาะอาหารออกบางส่วน แพทย์จะทำการต่อหลอดอาหารเข้ากับลำไส้เล็กโดยตรงเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกินอาหารได้ตามปกติ การผ่าตัดผ่านกล้องช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและไม่มีแผลเป็นขนาดใหญ่เหมือนการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับการรักษาและพักฟื้นที่โรงพยาบาล
การผ่าตัดกระเพาะอาหารคืออะไร ทำไมถึงรักษาโรคอ้วนได้?
1. ต้องเข้าใจหลักการก่อนว่า นี่คือการผ่าตัดเอาทางเดินอาหารหรือกระเพาะออก จากใหญ่เป็นเล็กเพื่อให้อิ่มง่ายขึ้น
2. เป็นการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในลำไส้และกระเพาะอาหารซึ่งจะส่งสัญญาณควบคุมความหิวและความอิ่มในสมอง ทำให้ผู้ป่วยอิ่มมากขึ้นเพราะมีความอยากอาหารน้อยลง
หลังผ่าตัดลดขนาดกระเพาะแล้วมีแนวโน้มกลับมาอ้วนอีกหรือไม่?
การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะสามารถช่วยคุณลดน้ำหนักได้อย่างถาวร และช่วยให้รู้สึกหิวน้อยลงเพราะการผลิตฮอร์โมนที่ทำให้หิวลดลง ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยการผ่าตัดกระเพาะ ที่ไหนดี น้ำหนักจะลดได้ถาวร
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร มีด้วยกัน 4 แบบ
1. เพื่อลดหรือขยายกระเพาะอาหารจะมีการสอดท่อที่กระชับท้อง จากขนาดใหญ่เป็นขนาดที่เล็กลง ผู้ป่วยทานอาหารเพื่อกระเพาะที่เล็กลง จากเคยกินเยอะก็อิ่ม แต่ตอนนี้ กระเพาะเล็กลง ทำให้กินได้นิดเดียวก็อิ่มแล้วเพราะวิธีนี้ หากน้ำหนักของผู้ป่วยลดลงจนเป็นที่พอใจก็จะสามารถผ่อนคลายความตึงของท้องได้
2. การผ่าตัดกระเพาะที่มีลักษณะคล้ายกล้วย โดยแพทย์จะตัดกระเพาะบางส่วนออกไป หลักการเหมือนกัน ได้เวลาทานอาหารแล้ว กินเพียงเล็กน้อยก็อิ่ม
3. การทำบายพาส คือการตัดกระเพาะและนำลำไส้เล็กส่วนกลางมาเชื่อมกับกระเพาะอาหาร โดยปกติร่างกายของมนุษย์จะต้องลงไปที่กระเพาะอาหารก่อนแล้วจึงไปที่ลำไส้เล็กส่วนต้น วิธีนี้จะลดน้ำหนักได้ดีกว่าสองวิธีแรก เพราะมีการลดขนาดทางเดินอาหารหรือกระเพาะลง แถมยังมี Food Bypass อีกด้วย อาหารจะดูดซึมได้น้อยลงเพราะผ่านไปได้เร็วกว่า นั่นอิ่มเร็ว
4. วิธีนี้คล้ายกับวิธีที่ 3 แต่จะเลี่ยงมากกว่า ทำให้โอกาสที่อาหารจะถูกดูดซึมยิ่งน้อยลงไปอีก ผู้ป่วยไม่ค่อยทำเช่นนี้เนื่องจากภาวะทุพโภชนาการไม่ใช่การวินิจฉัยที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
คนไข้ส่วนใหญ่ที่ผ่าตัดเย็บกระเพาะมักจะใช้วิธีที่ 2 หรือ 3 ก่อนรักษาต้องได้รับการประเมินก่อนว่าวิธีใดดีที่สุดสำหรับการลดน้ำหนัก มันแตกต่างกันในแต่ละวิธี วิธีที่ 3 จะลดมากกว่าวิธีที่ 2 ในขณะที่วิธีที่ 2 จะลดมากกว่าวิธีที่ 1
อ้วนแบบไหน ไม่สามารถผ่าตัดกระเพาะอาหารได้
1. ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ ในผู้ป่วยกลุ่มนี้แพทย์จะไม่แนะนำให้ทำ
2. ผู้ที่มีข้อห้ามในการผ่าตัดก่อนเข้ารับการผ่าตัดต้องเข้าพบแพทย์ก่อน เช่นหากผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจขั้นรุนแรง แพทย์โรคหัวใจ จะต้องประเมินร่างกายของผู้ป่วยก่อนว่าพร้อมรับการผ่าตัดหรือไม่ เพราะการจะนำคนไข้มาผ่าตัดทุกอย่างมีความเสี่ยง
3. ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิตเวชอาจต้องรับประทานยาที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ยาเหล่านี้อาจควบคุมโรคทางจิตเวชไม่ได้ รวมถึงผู้ป่วยที่ควบคุมความหิวไม่ได้เพราะอาจอยู่ในภาวะจิตใจไม่ปกติผ่าตัดไปก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ก่อนการผ่าตัดทุกครั้ง แพทย์ต้องบอกกฎเหล็กแก่คนไข้ นั่นคือ ต้องสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เพราะคนอ้วนมีปัญหาในการลดน้ำหนัก ไม่ใช่แค่เรื่องศัลยกรรมเท่านั้น การผ่าตัดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการลดน้ำหนัก และการผ่าตัดเหมาะสำหรับการทำให้คนอิ่มเร็วขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนไข้จะอิ่มเมื่อไหร่ด้วย จะทนความอยากได้ไหม เมื่ออิ่มแล้วผู้ป่วยห้ามรับประทานอาหาร หากคนไข้กินเข้าไปจะทำให้การผ่าตัดไม่ได้ผล
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะมีอะไรบ้าง?
การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารมีความเสี่ยง และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการรั่วไหล เลือดออก หรือรอยแยก จึงจำเป็นต้องทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อลดความเสี่ยง
ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ แพทย์จะติดตามอาการของคุณอย่างใกล้ชิด เพราะร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งฮอร์โมน และอาหารการกินก็จะเปลี่ยนไป การจัดการอารมณ์จะเป็นความท้าทายใหม่เช่นกันหลังจากนั้นจะมีการนัดตรวจอาการเป็นระยะ เริ่มตั้งแต่ 1 เดือน 3 เดือน จนถึง 1 ปี ซึ่งระหว่างนั้นจะมีเจ้าหน้าที่โทรมาสอบถามอาการตลอด
แนวทางการรับประทานอาหาร หลังเข้ารับการผ่าตัด
1. รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อต่อวัน และจำกัดของว่างที่ไม่จำเป็น
การลดน้ำหนักจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณกิน ของว่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพระหว่างมื้อ (เช่น ของว่าง ขนมอบ ฯลฯ) หรือการรับประทานบ่อย ๆ จะทำให้การลดน้ำหนักไม่สำเร็จและน้ำหนักขึ้นเนื่องจากปริมาณแคลอรีที่มากเกินไป
2. กินช้า ๆ และเคี้ยวให้ละเอียด
การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรเคี้ยวจนเหลวและควรหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนรับประทาน คุณควรใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีในการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ
3. หลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำตาล
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลอยู่ในส่วนผสม 3 อันดับแรกบนฉลาก จำนวนกรัมที่ระบุบนฉลากระบุว่าเป็นน้ำตาลธรรมชาติหรือน้ำตาลเติมดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องอ่านฉลากอาหาร รู้ว่าในอาหารมีน้ำตาลชนิดใด และจำกัดปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 15 กรัม ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคเพื่อช่วยควบคุมแคลอรีในอาหาร
การทานอาหารหลังการผ่าตัดกระเพาะ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เมื่อเลือกรับประทานอาหาร ผู้ป่วยควรเลิกนิสัยการกินแบบเดิม ๆ เพื่อให้การลดน้ำหนักได้ผลมากยิ่งขึ้น ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โปรตีน ผัก งดน้ำตาลและแป้ง ผู้ป่วยควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หลังผ่าตัดสามารถยืดหรือขยายขนาดกระเพาะได้หรือไม่?
ท้องของผู้ป่วยอาจยืดหรือขยายออกหลังการผ่าตัด หากผู้ป่วยรับประทานอาหารไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะทำให้รับประทานอาหารได้ 3-4 ช้อนต่อมื้อหากผู้ป่วยกินเกินกว่านั้นอาจทำให้ปวดท้องหรืออาเจียนได้ หากผู้ป่วยรับประทานอาหารมากกว่าปกติ กระเพาะอาหารอาจขยายใหญ่ขึ้น และผู้ป่วยอาจมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในที่สุด
เรามีเคล็ดลับในการลดความเสี่ยงของอาการท้องอืด
- ดื่มน้ำหนึ่งชั่วโมงก่อนและหลังรับประทานอาหาร สิ่งนี้จะช่วยให้ร่างกายของคุณย่อยอาหารและให้พื้นที่สำหรับของเหลว ในทางกลับกัน อย่ากินและดื่มในเวลาเดียวกัน
- อย่าดื่มน้ำอัดลมเพราะจะทำให้กรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป
- ทานอาหารว่างที่ดีต่อสุขภาพหากคุณรู้สึกหิวระหว่างมื้ออาหาร
- วางแผนมื้ออาหารของคุณโดยเน้นอาหารปริมาณน้อยที่ให้สารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น โปรตีน
- หากคุณกินมากเกินไปหรือกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ คุณควรกลับไปกินอาหารที่มีประโยชน์โดยเร็วที่สุด