ปัจจุบันวิถีชีวิตเปลี่ยนไป ผู้คนออกกำลังกายน้อยลง บริโภคแป้ง น้ำตาลมากขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาอ้วนลงพุงโดยไม่รู้ตัว จึงเป็นสิ่งที่หลายคนต้องเผชิญ แม้การลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่สามารถลดน้ำหนักด้วยวิธีปกติได้ ดังนั้น การผ่าตัดกระเพาะจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในยุคนี้ แม้ว่าชื่อการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะจะฟังดูน่ากลัวไปหน่อย
แต่ความจริงแล้วการผ่าตัดกระเพาะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่นเดียวกับการผ่าตัดมดลูกผ่านกล้อง หรือนิ่วในถุงน้ำดี อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ต้องใช้ทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะ จากหลายสาขามาช่วยดูแลเพื่อให้การรักษาประสบความสำเร็จ และลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น
การผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก (Bariatric surgery) คืออะไร ?
การผ่าตัดลดความอ้วนคือการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของกระเพาะอาหาร เรียกได้ว่าการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วน เนื่องจากในกระเพาะอาหารของเรามีฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอยากอาหาร เวลาเราผ่าตัดลดขนาดกระเพาะก็จะตัดส่วนที่มีฮอร์โมนนี้ออกไปด้วย และเมื่อฮอร์โมนนี้ลดลงก็จะส่งผลให้ความอยากอาหารลดลงไปด้วยเช่นกัน ซึ่งการผ่าตัดประเภทนี้จะทำให้คุณรับประทานอาหารได้น้อยลงในช่วงแรก แต่จะไม่ทรมานเพราะฮอร์โมนความอยากอาหารจะลดลงด้วย
การผ่าตัดกระเพาะทำให้ผอมได้จริงหรือ ?
คำตอบ: “จริง” การผ่าตัดกระเพาะช่วยลดความอ้วนอย่างไร ไม่ให้เกิดอันตราย เป็นวิธีการผ่าตัดที่ใช้ในการรักษาโรคอ้วน ลดน้ำหนักประเภทหนึ่ง เป้าหมายของการผ่าตัดคือการรักษาผู้ที่มีโรคอ้วนที่ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันลำบาก เช่นความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต มะเร็งรูปแบบต่าง ๆ โรคตับ ภาวะมีบุตรยาก และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากการผ่าตัดจะช่วยควบคุมภาวะแทรกซ้อนจากโรคอ้วนแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักในระยะยาวเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การผ่าตัดกระเพาะเป็นขั้นตอนหลักในการรักษาโรคและปัญหาต่าง ๆ จะไปไหนก็สะดวกกว่า สามารถออกกำลังกายและลดอาการเจ็บป่วยจากน้ำหนักเกินและโรคแทรกซ้อนได้
รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองอยู่ในภาวะโรคอ้วน ควรเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะ
วิธีประเมินความอ้วนแบบง่าย ๆ คือ วัดรอบพุงผ่านสะดือ ในผู้ชายหากมีรอบพุงมากกว่า 90 เซนติเมตร (35 นิ้ว) และผู้หญิงหากมีรอบพุงมากกว่า 80 เซนติเมตร (31.5 นิ้ว) และยิ่งมีเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือมีไขมันสูง ระดับที่ถือว่ามีความเสี่ยง ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป ในทางการแพทย์จะใช้ค่ามาตรฐานในการวัดภาวะโรคอ้วน คือการใช้ดัชนีมวลกาย (BMI; Body Mass Index) โดยนำน้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง เช่น น้ำหนัก 90 กก. ส่วนสูง 160 ซม. ค่า IBM คำนวณได้เป็น (90 / (1.6 x 1.6)) จะได้ BMI = 35.15 กก./ตร.ม.
การผ่าตัดกระเพาะ มีผู้ใดบ้างที่เข้าข่ายควรรับการผ่าตัด
- ต้องมีภาวะอ้วน โดยคำนวณจากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 32.5 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป ถ้าไม่อ้วน หลังผ่าตัด ผลที่ได้จะไม่คุ้มกับความเสี่ยง
- เคยใช้วิธีอื่นมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ผล ปาฏิหาริย์ในการลดน้ำหนักด้วยตนเองนั้นไม่เคยได้ผล แต่ถ้าพยายามแล้วไม่สำเร็จ อาจต้องเข้ารับการผ่าตัด
- ผู้ป่วยต้องเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวก่อน ระหว่าง และหลังการผ่าตัด ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การลดน้ำหนักจะค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉลี่ยแล้วคุณควรลดน้ำหนักหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ เช่น ตั้งเป้าว่าจะลดให้ได้ 50 กิโล จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี หลังผ่าตัดจะกินได้น้อยลง จากกินเป็นชาม ๆ จะทำให้กินได้แค่ 3-4 ช้อน ต้องเลือกกินเลือกดื่มและต้องติดตามการรักษาเป็นระยะตลอดไป จะส่งผลต่อจิตใจและร่างกายอย่างไร ต้องทำความเข้าใจให้มากที่สุด
ข้อมูลสำคัญสำหรับผู้ป่วยหลังการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ คือ เน้นทานโปรตีน ทานคาร์โบไฮเดรต ไฟเบอร์เยอะๆ เช่น ผัก เพราะจะดูดซึมได้ยากกว่า หลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตที่ดูดซึมง่าย เช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล อาหารประเภทเส้นทั้งหลาย รับประทานไขมันให้น้อย พร้อมกับรับประทานวิตามินอย่างสม่ำเสมอ เมื่อลุกออกกำลังกายไหว ให้พยายามออกกำลังให้มาก และมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
การผ่าตัดกระเพาะ ที่ได้รับการยอมรับมี 2 วิธี ดังนี้
- การผ่าตัดกระเพาะแบบส่องกล้อง เป็นการผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะให้เล็กลง โดยขนาดกระเพาะอาหารที่ยังคงอยู่หลังผ่าตัดเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย กระเพาะส่วนที่ตัดออกยังเป็นส่วนผลิตฮอร์โมนให้หิว จึงมีผลทั้งเรื่องลดปริมาณอาหารเข้าสู่ร่างกาย และปรับฮอร์โมน
- การทำบายพาสกระเพาะแบบส่องกล้องเป็นวิธีการทำบายพาสกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เรียกสั้นๆ ว่า “บายพาส” นอกจากจะลดแคลอรีเข้าสู่ร่างกาย ปรับฮอร์โมน แล้วยังลดการดูดซึมอีกด้วย เป็นการผ่าตัดที่มีขั้นตอนเยอะ ใช้เวลาในการผ่าตัดนานขึ้น แต่ลดน้ำหนักได้มากกว่า และลดโรคร่วมจากความอ้วนได้ดีขึ้นโดยเฉพาะเบาหวาน
การผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักได้อย่างไร ?
การผ่าตัดลดน้ำหนักให้ลดลงได้ด้วย 3 หลักการดังนี้
- ลดปริมาณอาหารเข้าสู่ร่างกาย โดยการลดขนาดของกระเพาะอาหาร ทำให้รับประทานได้ไม่เยอะ รู้สึกอิ่มเร็ว
- ลดการดูดซึมอาหาร โดยทำการเปลี่ยนแปลงทางเดินอาหารให้มีระยะพบกับน้ำย่อยและดูดซึมน้อยลง
- การปรับฮอร์โมนช่วยให้ร่างกายหิวน้อยลง อิ่มเร็วขึ้น และอวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น เช่น ฮอร์โมนในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
ตารางลดน้ำหนัก ผู้หญิง 7วัน สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ร่างกายสูญเสียแคลอรีมากกว่าที่พยายามลดเองในปัจจุบัน ร่างกายจะสลายไขมันส่วนเกินที่สะสมตามอวัยวะต่าง ๆ ลดน้ำหนัก ระบบทำงานได้ดีขึ้น
ความเสี่ยงของการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักมีอะไรบ้าง ?
หลังการผ่าตัด อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดลิ่มเลือดในปอด (pulmonary embolism) หรือลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึก (Deep vein thrombosis) ซึ่งยาสามารถช่วยป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้ นอกจากนี้การเคลื่อนไหวหรือการลุกขึ้นทำกิจกรรมต่าง ๆ เร็วแค่ไหน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของอาการเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น อาจพบการติดเชื้อบางส่วนหลังการผ่าตัดลดน้ำหนัก
- หลังการผ่าตัดหากมีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาจพบอาการนิ่วในถุงน้ำดีได้
- หากน้ำหนักลงเร็วเกินไปหลังจากที่ได้รับการผ่านตัด อาจทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยได้
การดูแลตัวเองหลังเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก
เนื่องจากการผ่าตัดลดน้ำหนักเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการรักษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดลดน้ำหนัก พร้อมทั้งติดตามอาการของผู้เข้ารับการผ่าตัดอย่างใกล้ชิด และขอแนะนำให้คุณออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น ด้านอาหาร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ให้คำแนะนำในการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมในระยะแรกหลังการผ่าตัด แบ่งออกเป็น 4 ระยะคือ
- สัปดาห์ที่ 1 จะให้รับประทานอาหารเหลวใสที่รับประทานง่ายเพื่อปรับสภาพกระเพาะอาหาร
- สัปดาห์ที่ 2 แพทย์จะให้รับประทานอาหารข้นขึ้น เช่น ซุป
- สัปดาห์ที่ 3 จะให้รับประทานอาหารอ่อน ประเภท เยลลี่ ไข่ตุ๋น คัสตาร์ด
- สัปดาห์ที่ 4 รับประทานอาหารได้ตามปกติ
หลังจากปรับกระเพาะอาหารได้ประมาณ 4 สัปดาห์ ก็สามารถทานอาหารได้ตามปกติ โดยเลือกรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เน้นโปรตีน และดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่มีข้อห้ามพิเศษ ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนักจะรับประทานอาหารได้น้อยลง เนื่องจากกระเพาะมีขนาดเล็กลงแล้ว
การผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก อันตรายไหม ?
ปัจจุบันนวัตกรรมการศัลยกรรมมีความทันสมัยมากขึ้น การผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนักเราสามารถใช้วิธีส่องกล้อง โดยเจาะรูเล็ก ๆ ขนาดแผลประมาณ 1- 1.5 ซม. แล้วเย็บด้วยไหมละลายภายหลังการผ่าตัด ดังนั้นผู้ป่วยจึงฟื้นตัวได้เร็ว เจ็บน้อย และหลังจากนั้นเพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น ด้วยเทคโนโลยี 4K-Full HD ศัลยแพทย์สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ส่งผลให้การผ่าตัดปลอดภัยและมีความเสี่ยงน้อยที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน
การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่หลายคนคิด แต่ต้องอาศัยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขามาช่วยดูแลกัน เช่น ทีมศัลยแพทย์เฉพาะทางลดน้ำหนัก นักโภชนาการ และอายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อ ซึ่งจะดูแลทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดเพื่อให้การรักษาประสบผลสำเร็จ รวมถึงลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นและหลังรับการรักษา