ปัจจุบัน “โรคอ้วน” เป็นปัญหาสำคัญของประชากร ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม ที่เพิ่มขึ้น รับประทานผักและผลไม้น้อยลง และขาดการออกกำลังกายซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา ที่สำคัญยังเป็นปัจจัยในการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หลังการผ่าตัดกระเพาะอาจทำให้น้ำหนักตัวลดลงเยอะ
แต่ก็ไม่ได้เกิดจากการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว ต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ซึ่งน้ำหนักที่ลงเร็วนี้จะทำให้ร่างกายมีสภาพที่หย่อนคล้อย จึงต้องบริหารร่างกาย การผ่าตัดกระเพาะ ข้อเสียของคนอ้วนนั้น มักใช้กับคนไข้ที่มีภาวะโรคอ้วนเท่านั้น โดยที่คนไข้ที่แพทย์จะทำการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วนได้นั้นจะต้องมีค่าดัชนีมวลกายเกินมาตรฐาน
การผ่าตัดกระเพาะ ทำไมจึงรักษาโรคอ้วนได้ ?
- ต้องเข้าใจก่อนว่าการผ่าตัดกระเพาะนี้ เป็นการทำให้ทางเดินอาหารหรือกระเพาะเล็กลง เพื่อทำให้คนไข้อิ่มง่ายขึ้น
- เป็นการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในลำไส้และกระเพาะอาหาร ซึ่งจะส่งสัญญาณควบคุมความหิวและความอิ่มในสมอง ทำให้ผู้ป่วยอิ่มมากขึ้นทำให้อยากอาหารน้อยลง
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร ข้อเสียของคนอ้วน ทำได้กี่แบบ ?
1. การรัดกระเพาะ คือการสอดสายยางเพื่อรัดกระเพาะให้เล็กลงหรือขยายในส่วนนี้ได้ โดยใช้วิธีรัดกระเพาะจากขนาดเดิมที่ใหญ่ให้มีขนาดที่เล็กลง ดังนั้นอาหารที่ผู้ป่วยรับประทานเข้าไปจากที่เคยรับประทานได้ในปริมาณมากเพื่อให้อิ่ม แต่ตอนนี้ กระเพาะเล็กลง ทำให้รับประทานได้นิดเดียวก็อิ่มแล้ว สำหรับวิธีนี้ หากน้ำหนักของผู้ป่วยลดลงจนเป็นที่พอใจก็จะสามารถคลายตัวที่รัดกระเพาะได้
2. การผ่าตัดกระเพาะคล้ายรูปกล้วย โดยที่แพทย์จะตัดกระเพาะบางส่วนออกไป ทำให้มันเล็กลงหลักการเหมือนกัน ได้เวลาทานอาหารเข้าไปแล้ว จะทำให้รับประทานได้เพียงเล็กน้อยก็รู้สึกอิ่ม เนื่องจากกระเพาะเล็กลง
3. การผ่าตัดบายพาส คือ การตัดกระเพาะให้เล็กลง ร่วมกับการนำลำไส้เล็กส่วนกลางมาเชื่อมกับกระเพาะอาหาร อันนี้ไม่ใช่การทำให้อาหารผ่านไปลำไส้เล็กดูดซึมอาหารได้น้อยลง วิธีนี้จะลดน้ำหนักได้ดีกว่า 2 วิธีแรก เพราะได้ทั้งการลดขนาดของทางเดินอาหารหรือกระเพาะ แถมยังมีการบายพาสอาหารอีกด้วย เนื่องจากอาหารจะลงมาถึงลำไส้เล็กดูดซึมได้น้อยลงเพราะผ่านได้เร็วกว่า ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วนั่นเอง
4. วิธีนี้คล้ายกับวิธีที่ 3 แต่จะเลี่ยงมากกว่า คือการนำลำไส้ใหญ่ส่วนปลายขึ้นมาแล้วสลับข้างของลำไส้ ทำให้โอกาสที่อาหารจะถูกดูดซึมก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก ซึ่งคนไข้ไม่ค่อยได้ทำ เพราะหลังจากทำเสร็จ คนไข้มีภาวะขาดสารอาหาร จึงไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
คนไข้ส่วนใหญ่ที่มาผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนักมักจะใช้วิธีที่ 2 และ 3 แต่จะตัดสินใจเลือกวิธีไหนนั้นขึ้นอยู่กับคนไข้และแพทย์ ซึ่งจะต้องมีการประเมินร่วมกัน ก่อนอื่นผู้ป่วยต้องรู้ตัวก่อนว่าตอนนี้น้ำหนักเท่านี้ คุณตั้งใจจะลดน้ำหนักมากแค่ไหน เพราะการลดน้ำหนักแต่ละวิธีไม่เหมือนกัน เป็นลำดับว่าวิธีที่ 3 จะลดได้มากกว่าวิธีที่ 2 ส่วนวิธีที่ 2 จะลดได้มากกว่าวิธีที่ 1 ทั้งนี้จากการศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด
ผ่าตัดกระเพาะ ข้อเสียของคนอ้วนแบบไหนที่ไม่สามารถทำได้
- แพทย์จะไม่แนะนำให้คนท้อง ให้นมบุตร หรือกำลังวางแผนที่จะตั้งครรภ์ ทำการผ่าตัดกระเพาะ
- คนที่มีข้อห้ามในการผ่าตัด อาจจะมีภาวะความเสี่ยงเรื่องโรคหัวใจรุนแรง ไม่พร้อมที่จะผ่าตัด หากต้องการผ่าตัดกระเพาะจะต้องให้แพทย์ด้านหัวใจมาทำการประเมินก่อนว่าร่างกายพร้อมหรือไม่ที่จะทำการผ่าตัด เนื่องจากมีความเสี่ยง
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิตเวช เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องรับประทานยาที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ซึ่งหลังการผ่าตัดผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังต้องรับประทานยาตัวนี้อยู่ หลังการผ่าตัด จึงไม่อาจควบคุมโรคจิตเวชได้ รวมถึงผู้ป่วยจิตเวชที่ควบคุมความหิวของตัวเองไม่ได้ เพราะอาจมีสภาพจิตใจไม่ปกติ การผ่าตัดอาจไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ก่อนการผ่าตัดทุกครั้งแพทย์ต้องบอกกฎเหล็กแก่คนไข้ นั่นคือ ต้องสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เพราะคนอ้วนที่จะลดน้ำหนักได้ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่การผ่าตัดเท่านั้น การผ่าตัดเหมาะสำหรับทำให้คนไข้อิ่มเร็วขึ้น แต่ยังขึ้นอยู่กับว่าเมื่ออิ่มแล้วจะอดทนต่อความอยากกินต่อไปได้หรือไม่ ดังนั้นสิ่งที่ผู้ป่วยต้องทำควบคู่กันคือ อิ่มแล้ว ห้ามกิน ถือเป็นหัวใจสำคัญ เช่น มีคนไข้หลายคนผ่าตัด กินเยอะ อิ่มแต่ยังหยุดกินไม่ได้ ทำให้แผลผ่าตัดเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดกระเพาะ ข้อเสียของคนอ้วน
การเตรียมตัวที่ใช้เวลานาน คือ คนไข้ต้องทำตามกฎเหล็กที่คุณหมอให้การบ้านมาให้ทำก่อน นั่นคือคุณต้องควบคุมความหิวและความอิ่มให้ได้ คุณต้องไม่รับประทานเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ต้องออกกำลังกายให้เป็น คือให้คนไข้เรียนรู้ก่อนการผ่าตัดว่า ก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัดต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ถ้าคนไข้ไม่ทำ การผ่าตัดไม่ได้ผลแน่นอน อาจต้องเสียเงินฟรี รวมทั้งให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักก่อนการผ่าตัด เพราะหากคนไข้ทำได้ แสดงถึงความตั้งใจจริงที่ต้องการลดน้ำหนัก
นอกจากนี้ยังจะช่วยให้ศัลยแพทย์ทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะขนาดหน้าท้องที่เล็กลง การประเมินผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดคือการเข้าพบแพทย์อายุรกรรม หากผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจต้องไปพบแพทย์โรคหัวใจเพราะคนอ้วนส่วนใหญ่มักมีอาการหยุดหายใจขณะหลับ รวมถึงต้องตรวจสอบประวัติด้วยว่า ผู้ป่วยเคยปวดท้องหรือเป็นโรคกระเพาะหรือไม่ ต้องไปส่องกล้องดูเชื้อในท้องก่อน ถ้ามีก็ต้องจัดการให้ถูกวิธี ก่อนทำการผ่าตัดกระเพาะ ข้อเสียของคนอ้วนต้องทำการงดน้ำงดอาหาร เหมือนกับการผ่าตัดทั่วไป
การผ่าตัดกระเพาะมีข้อดีอย่างไร ?
ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีโรคแทรกซ้อน คือ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การลดน้ำหนักด้วยตัวเองนั้น อาจทำให้น้ำหนักลงได้ช้าลง แต่แพทย์ได้ช่วยผ่าตัดเย็บกระเพาะ เพื่อที่จะช่วยทำให้อิ่มเร็วขึ้น หากไม่ผ่าตัดก่อนจะปรับหรือควบคุมพฤติกรรมการกิน ความหิว ความอิ่ม คงต้องใช้เวลาพอสมควร อีกอย่างคือการผ่าตัดเปลี่ยนฮอร์โมนในลำไส้ที่ควบคุมความหิวและความอิ่ม นอกจากนี้ยังจะช่วยได้อีกทางหนึ่งด้วย ผู้ป่วยจะมีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
การผ่าตัดเย็บกระเพาะมีข้อเสียอย่างไร ?
ก่อนผ่าตัดต้องศึกษาข้อมูลให้ดี เนื่องจากมีความเสี่ยง
อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้
อาจทำให้เกิดภาวการณ์ขาดวิตามิน ซึ่งการผ่าตัดกระเพาะจะทำให้ดูดซึมได้ไม่หมด การดูดซึมเป็นไปได้ไม่ดี และทำให้การรับประทานอาหารได้น้อยลง ส่งผลให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่น้อยลง เมื่อทำการผ่าตัดกระเพาะให้เล็กลงแล้วจะต้องรับประทานวิตามินตลอดชีวิตก็เป็นไปได้
อย่างไรก็ตามมีคนไข้บางคนถามว่าผ่าตัดกระเพาะ ที่ไหนดี ทานวิตามินได้หรือไม่ คุณหมอตอบว่าถ้าไม่ทานจะขาดวิตามินตามมา เช่น คนไข้อาจขาดวิตามินบี 12 ซึ่งจะส่งผลให้เป็นโรคโลหิตจางได้ ภาวะทางระบบประสาท การเดิน การทรงตัวผิดปกติ ทำให้หมอเข้มงวดและย้ำกับคนไข้เสมอว่า ต้องกินวิตามินไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเย็บกระเพาะ กลับมาอ้วนอีกเพราะทำกฎเหล็กควบคุมความหิวไม่ได้ ซ้ำยังกินน้ำหวาน รวมถึงผู้ป่วยที่ไม่ออกกำลังกาย ก็จะทำให้อ้วนได้อีกเช่นกัน
หลังการผ่าตัดกระเพาะ ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ?
โดยทั่วไปควรปฏิบัติดังนี้ สัปดาห์แรก หลังการผ่าตัดให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารเหลวได้ เช่น ซุปใส ชา กาแฟเครื่องดื่มไม่ใส่น้ำตาลและไม่อัดลม น้ำผัก น้ำผลไม้ โยเกิร์ต จำกัดปริมาณของเหลวที่ได้รับในแต่ละครั้ง และให้กินทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง อีก 2 สัปดาห์ถัดมา ผู้ป่วยจะถูกจำกัดให้รับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ เช่น ข้าวต้ม หลังจากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนไปรับประทานอาหารตามปกติ แต่ควรรับประทานในปริมาณน้อย เคี้ยวอาหารให้ละเอียดและนานกว่าปกติก่อนกลืน และไม่ควรดื่มน้ำพร้อมอาหาร
ดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร 15-30 นาที คนไข้จะได้รับรายละเอียดผลการผ่าตัดในภายหลัง และจะต้องกลับมาพบแพทย์อีกครั้ง เพื่อตรวจร่างกายหากจำเป็น โดยปกติแพทย์จะนัดผู้ป่วยกลับมาตรวจเป็นระยะ รูปแบบการใช้ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม จะทำให้การผ่าตัดลดน้ำหนักประสบความสำเร็จได้