การทากันแดด 2 ข้อนิ้ว ป้องกันแสงแดดได้เต็มประสิทธิภาพ เรื่องจริง หรือ กระแส?

การทากันแดด 2 ข้อนิ้ว

ในช่วงนี้ การทากันแดด 2 ข้อนิ้ว เป็นกระแสติดเทรนด์ที่กำลังมาแรงมาก ๆ เขาว่ากันว่าการทากันแดดด้วย 2 ข้อนิ้ว เป็นปริมาณที่เหมาะสม สามารถช่วยป้องกันแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่หลายคนมีข้อสงสัย เราจำเป็นต้องทากันแดด 2 ข้อนิ้วหรือกินคอลลาเจนตอนไหนดีจริงหรือ มาดูหลักการทาครีมกันแดดที่ถูกต้องกัน ถ้าใครไม่อยากโดนแดดเผาผิวหมองคล้ำ

การทาครีมกันแดดน้อยเกินไปก็ทำให้เกิดฝ้าได้ซึ่งถ้าใครไม่อยากเป็นฝ้าก็ควรทาครีมกันแดดอย่างน้อย 1.05 กรัม นั่นหมายความว่าการทากันแดด 2 ข้อนิ้ว “เป็นเรื่องจริง” ไม่ใช่กระแสนั่นเอง

วิธีทา “กันแดด 2 ข้อนิ้ว” ที่ถูกต้อง

กันแดดแบบไหนมีประสิทธิภาพมากที่สุด ?

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าการทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA++++ เพื่อให้สามารถป้องกันตัวเองจากแสงแดดในประเทศไทยได้ รู้แบบนี้แล้วก็หาครีมกันแดดได้ง่ายขึ้นใช่มั้ย เอาล่ะ ต่อไปจะเป็นวิธีการทาครีมกันแดดให้ได้ผลสูงสุดนั่นก็คือการ “ทากันแดด 2 ข้อนิ้ว” นั่นเอง 

กันแดด 2 ข้อนิ้ว

ทากันแดด 2 ข้อนิ้ว ทายังไง ?

มาถึงส่วนที่ทุกคนสงสัยกันว่าทาครีมกันแดด 2 ข้อนิ้วข้างไหน? เท่าไหร่กันแน่? คำตอบคือ “2 ข้อนิ้ว” ของเรา ซึ่งต้องเป็น 2 ข้อนิ้ว “เต็มนิ้ว” ด้วย เพราะเมื่อเทียบเป็นปริมาณ 1 ช้อนชาแล้ว จะเท่ากับ ¼ ของช้อนชาพอดี หรืออาจจะต้องเพิ่มข้อนิ้วจาก 2 เป็น 3 ข้อ นี่เป็นเพียงสำหรับ “ใบหน้า” เท่านั้น ถ้าทาคอด้วยให้เพิ่มอีก 2 ข้อนิ้วเหมือนเดิม และต้อง “ทาซ้ำทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง” ที่ต้องทาครีมกันแดดในปริมาณมาก ๆ แบบนี้ เพราะนักวิจัยได้ทำการวิจัยว่าเป็นปริมาณที่ให้ประสิทธิภาพการป้องกันแสงแดดได้ดีที่สุด อีกอย่างคือเวลาเราบีบครีมกันแดดที่นิ้วบางทีครีมก็ติดที่นิ้วด้วย เหลือครีมกันแดดไว้บนหน้าของเราเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

หากคุณทำงานในสำนักงานหรืออยู่บ้าน คุณยังคงต้องทาครีมกันแดดทุกวัน ดังนั้นคุณควรทาครีมกันแดดเป็นกิจวัตรประจำวันแต่ถ้าอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน อาจจะไม่จำเป็นต้องทาซ้ำ หรือทาซ้ำแค่ 1 ครั้ง/วัน ก็พอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การทากันแดดเกินไว้ก่อนก็ดี

ปัญหาทากันแดดแล้วหน้ามัน เป็นขุย เป็นคราบ

การทากันแดด 2 ข้อนิ้ว สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาทาครีมกันแดดแล้วหน้ามันเยิ้ม เป็นขุย เป็นคราบ แสบหน้า หรือสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อทาครีมกันแดดขอแนะนำให้ทุกคนย้อนกลับไปดูส่วนผสมในครีมกันแดดกันก่อนส่วนผสมส่วนใหญ่ที่ทำให้เราแพ้หรือระคายเคืองคือน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ในครีมกันแดด

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าส่วนผสมเหล่านั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เจอแล้วต้องแบนทันที เพราะอย่างแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมที่ช่วยให้ครีมกันแดดซึมเข้าสู่ผิวเร็วขึ้น แต่บางคนอาจจะแพ้ ใช้แล้วแสบตา เราก็แค่เลี่ยงไปใช้ยี่ห้ออื่นที่เหมาะกับผิวหน้าของเรา อีกอย่างคือสภาพผิวหน้าของเรา หากขาดความชุ่มชื้นก็อาจทำให้เกิดปัญหาทาครีมกันแดดแล้วเป็นขุยได้ ดังนั้นก่อนนอนควรบำรุงผิวหน้าให้ถูกต้อง ตื่นเช้ามาทากันแดดได้เลยไม่เป็นคราบหรือเป็นขุย

ส่วนเวลาทาครีมกันแดดแล้วมีปัญหาหน้าเทา หน้าลอย หรือหน้ามัน อย่าโทษหน้าตัวเองก่อน เพราะปัญหาอยู่ที่ครีมกันแดดที่ไม่เข้ากับสภาพผิวของเรานั่นเอง เมื่อเลือกครีมกันแดดมาทาแล้วมีปัญหาเหล่านี้ ก็ควรเลือกยี่ห้อใหม่ที่ไม่เป็นภัยต่อผิวหน้าของเรา ไม่ต้องเสียดาย เพราะผิวหน้าเรามีเพียงหน้าเดียวจึงต้องดูแลให้ดี

เลือกครีมกันแดด

ควรทาครีมกันแดดตอนไหนถึงจะดีที่สุด ?

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือระยะเวลาในการทาครีมกันแดดที่มี SPF โดยเราต้องทาก่อนออกแดด 15 นาที เพื่อให้ครีมกันแดดทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และพยายามลดขั้นตอนการดูแลผิวหน้าก่อนทาครีมกันแดดให้น้อยที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นกันแดดก็ไม่อาจสร้างฟิล์มมาเป็นเกราะป้องกันให้กับผิวหน้าของเราได้นั่นเอง

วิธีการเลือกครีมกันแดด

วิธีการเลือกครีมกันแดดนั้นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความชอบของแต่ละคน

ครีมกันแดดแบ่งออกเป็น 3 ประเภท

  1. ครีมกันแดดที่ใช้คุณลักษณะทางเคมี (Chemical Sunscreen) เป็นครีมกันแดดที่เน้นการดูดซับรังสียูวี
  2. ครีมกันแดดที่ใช้คุณลักษณะทางกายภาพ (Physical Sunscreen) ครีมกันแดดที่สามารถสะท้อนได้ทั้งรังสี UVA และ UVB
  3. ครีมกันแดดที่ใช้คุณสมบัติผสมผสาน (Chemical-Physical Sunsreen) ผสานคุณสมบัติการปกป้องตามมาตรฐานครีมกันแดด ที่เราได้ยินบ่อยๆ มีอยู่ 2 ชื่อคือ SPF และ PA+++

การเลือกครีมกันแดด

แสงแดดมีทั้งรังสี UVA และ UVB เราควรเลือกครีมกันแดดที่ป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB โดยดูจากค่า SPF (Sun Protective Factor) ที่แสดงถึงการป้องกันรังสี UVB ถ้าใช้ค่า SPF สูงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันมากขึ้น ส่วนค่า PA (Protective Grade of UVA) จะบ่งบอกถึงการป้องกัน UVA โดยถ้าใช้ PA ที่บวกมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันมากขึ้นเช่นกัน โดยกันแดดที่ดีสำหรับประเทศไทย ควรมีค่า SPF ตั้งแต่ 50 ขึ้นไป และ PA++++ ที่ป้องกัน UVA ได้มากกว่า 16 เท่า จะดีที่สุด

  1. ครีมกันแดดควรมีค่าอย่างน้อย SPF30 ขึ้นไป และ PA+++ อย่างละสองอย่างขึ้นไป เพราะแดดบ้านเราค่อนข้างแรง
  2. เลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง เพราะสภาพผิวของคนเราแตกต่างกัน ผิวแห้งอาจต้องการครีมกันแดดที่ให้ความชุ่มชื้น หรือผิวมันต้องการครีมกันแดดที่ไม่เหนียวเหนอะหนะควบคุมความมัน
  3. ควรเลือกแบบไม่มีน้ำหอม ไม่อุดตัน และไม่ใส่สารกันเสีย เพราะอาจทำให้ผิวของคุณระคายเคืองได้

กันแดด

เลข SPF บนฉลากกันแดดบอกอะไรเราได้บ้าง ?

อาการผิวไหม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความเข้มของแสงยูวี โดยทั่วไปแล้วผิวหนังของมนุษย์สามารถทนแสงแดดได้ประมาณ 10-20 นาที หลังจากผ่านไป 2-6 ชั่วโมง ผิวจะเริ่มแสดงอาการผิวไหม้จากแสงแดด เช่น ผิวแดง ผิวดำ และผิวลอก

ผลิตภัณฑ์กันแดดจึงถูกกำหนดให้มีค่า SPF (Sun Protection Factor) เป็นตัวชี้วัดการปกป้องผิวจากรอยแดง และคำนวณจากจำนวนครั้งที่ผิวสามารถทนต่อรังสีอัลตราไวโอเลตได้หลังจากทาครีมกันแดด

เช่น ค่า SPF 15 ก็จะหมายถึง ปกป้องแสงแดดได้ 15 เท่าของผิวปกติ ถ้าเวลาที่ผิวถูก Sunburn อยู่ที่ 10 นาที กันแดด SPF 15 จะช่วยป้องกันผิวของเราจากการ Sunburn ได้นาน 15×10 = 150 นาที หรือ 2 ชั่วโมง 30 นาที

ค่า SPF บ่งบอกถึงประสิทธิภาพและความสามารถของครีมกันแดดในการดูดซับรังสี UV-B ค่า SPF ยิ่งสูงยิ่งปกป้องได้ดี