คอเหี่ยว เป็นชั้น เกิดจากอะไร ดูแลให้กระชับได้ ไม่ต้องผ่าตัด

คอเหี่ยว

คอเป็นส่วนที่สำคัญของร่างกายที่มักถูกละเลยในการดูแลสุขภาพผิว การที่เราไม่ให้ความสำคัญกับการดูแลคออาจส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของผิวคอได้เช่นกัน อาจทำให้เกิด คอเหี่ยว คอย่น คอเป็นรอยพับ หรือคอหย่อนคล้อย ซึ่งอาจเป็นผลจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น แสงแดด มลภาวะ การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว และอื่น ๆ

การดูแลคอให้มีผิวสุขภาพดีสามารถทำได้โดยการใช้ครีมบำรุงผิวคอ เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นและป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวคอ นอกจากนี้ยังควรป้องกันแสงแดดโดยการใส่ผ้าคลุมคอหรือใช้ครีมกันแดดที่มีปัจจัยที่ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของผิวคอจากแสงแดด นอกจากนี้การดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายและการบริหารจัดการสุขภาพอีกด้วยก็สามารถช่วยให้คอมีสุขภาพดีได้เช่นกัน

ดังนั้น การดูแลคอเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ใบหน้า และหากเราสามารถดูแลคอให้มีสุขภาพดีอย่างเหมาะสม จะช่วยสร้างความมั่นใจในการสวมใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผยคอได้อย่างมั่นใจและสวยงามอีกด้วย

คอเหี่ยวกับผิวหย่อนคล้อย

คอเหี่ยวกับผิวหย่อนคล้อยในแต่ละช่วงวัย

  • เมื่อเข้าสู่อายุ 20 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มมีการเสื่อมสลายของคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีหน้าที่คล้ายกาวที่ยึดส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้ผิวแข็งแรงและสร้างความตึงกระชับให้ผิว รวมถึงยังมีการลดลงของอิลาสตินอีกหนึ่งชนิดที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นเหมือนติดสปริง ดังนั้น ผิวพรรณในวัย 20 ปีขึ้นไป จะมีเส้นริ้วรอยบาง ๆ ที่เริ่มปรากฏขึ้น เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินได้เท่าเดิม ดังนั้นการดูแลผิวพรรณให้เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม การรักษาสุขภาพอย่างเหมาะสม รวมไปถึงการลดการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์อย่างเหมาะสมก็เป็นสิ่งที่ช่วยลดการเสื่อมสลายของคอลลาเจนและอิลาสตินในร่างกายได้อีกด้วย
  • เมื่อเข้าสู่อายุ 30 ปีขึ้นไป การเสื่อมสภาพของชั้นผิวหนังแท้จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนและอิลาสตินที่เป็นโปรตีนสำคัญในการสร้างความแข็งแรงและยืดหยุ่นให้กับผิวหนังลดลงมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่ช้าลง ทำให้ผิวหนังมีความแห้งกร้าน แห้งลอก ซึ่งจะทำให้เห็นริ้วรอยที่ลึกขึ้นและผิวหนังยังมีความหย่อนคล้อยด้วย การดูแลผิวหน้าในช่วงนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เช่นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบำรุงผิวหน้าและสมดุลความชุ่มชื้นของผิว รวมถึงการหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ผิวหน้าเสียหายเช่น แสงแดดจัด การสูบบุหรี่ และอื่น ๆ อีกด้วย
  • เมื่ออายุขึ้นไปถึง 40 ปี โครงสร้างของผิวหนังก็เริ่มเสื่อมสภาพมากขึ้น โดยพบว่าการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินเริ่มลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีการกักเก็บน้ำในชั้นผิวเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้ผิวมีปัญหาลึกถึงชั้น SMAS ที่เป็นชั้นผิวที่ลึกกว่าชั้นไขมัน และเป็นเนื้อเยื่อที่พังผืดห่อหุ้มกล้ามเนื้อ ช่วยยกกระชับผิวหนัง แต่เมื่อผิวชั้น SMAS เสื่อมสภาพลงก็จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวตัวและมีความหย่อนคล้อย ทำให้เห็นเป็นชั้นคอเหี่ยว คอย่น และคอหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัดในช่วงวัย 40 ปีขึ้นไป ดังนั้นการดูแลผิวหนังในช่วงนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการดูแลผิวที่เหมาะสม การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ หรือการออกกำลังกายเพื่อช่วยสุขภาพผิวหนังและร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้การดูแลผิวหนังในช่วงนี้จึงเป็นสิ่งที่ห้ามละเลยเด็ดขาด
  • เมื่ออายุได้ถึง 50 ปีขึ้นไป รูปหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างสังเกตเห็นได้ชัดเจน โดยเนื่องจากผิวหนังมีความหย่อนคล้อยมากขึ้น ชั้นไขมันของใบหน้าจะหายไปและผิวหนังจะบางลง โครงสร้างของกระดูกและกล้ามเนื้อบนใบหน้าจะอ่อนแอและยุบตัวลง รูปหน้าอาจจะบุ๋มไม่สม่ำเสมอและไม่สมดุลกัน
  • อยู่ในช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผิวหนังจะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น เนื่องจากความหนาแน่นของผิวลดลงอย่างมาก ไขมันบริเวณใต้ผิวหนังลดลง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและมีความหย่อนคล้อยมากขึ้น ผิวหนังแห้งขาดน้ำ และเกิดริ้วรอยที่ลึกลงมาก ทำให้ผิวไม่กระชับและมีความหย่อนคล้อยเหี่ยวย่น โดยเฉพาะบริเวณลำคอที่เหี่ยวย่นและมีคอย่น ทำให้ผิวหนังลำคอหย่อนคล้อย

คอเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง ?

สาเหตุที่ทำให้ คอเหี่ยว ย่น หรือเหงื่อออกเท้าสามารถมาจากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงดังนี้

  • เมื่อคุณอายุมากขึ้น ระดับฮอร์โมนของคุณก็จะเปลี่ยนไป และผิวของคุณก็เริ่มเสื่อมสภาพลง
  • การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้ร่างกายของคุณสูญเสียความชุ่มชื้น ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้ง ริ้วรอย และรอยเหี่ยวย่นได้
  • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วอาจทำให้ผิวหนังหดตัวเร็วเกินไปและทำลายคอลลาเจนและอิลาสติน
  • หลายคนละเลยการทาครีมกันแดดที่คอ ทำให้รังสี UV ทำลายผิว ทำให้เกิดริ้วรอยและสูญเสียความกระชับ
  • ท่าเดิมซ้ำ ๆ ทำให้ผิวหนังเกิดรอยพับและทำลายความยืดหยุ่นของผิวคอ เช่น การก้มคอหรือนอนหมอนต่ำเป็นเวลานาน ๆ

หากคุณมีอาการคอเหี่ยวย่นและหย่อนคล้อยอย่างต่อเนื่อง คุณควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาตามความเหมาะสม เพราะอาการคอเหี่ยวย่นอาจเป็นเพียงอาการแรกของโรคอื่น ๆ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม หรือโรคข้อเท้าเสื่อม ซึ่งจะเสี่ยงเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี

นอกจากนี้คุณยังสามารถป้องกันอาการคอเหี่ยวย่นได้ โดยการใช้หมอนที่รองรับคออย่างเหมาะสม ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อในคอ หลีกเลี่ยงการพลิกตัวหรือเงยคอตลอดเวลา หากคุณทำงานโดยใช้คอเป็นเวลานาน ๆ คุณควรพักผ่อนและเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ เพื่อลดความเสียหายในกล้ามเนื้อและเพิ่มความเรียบรื่นในการไหลเวียนเลือดในคอ

ปัญหาคอเหี่ยวย่น

ปัญหาคอเหี่ยวย่นดูแลได้ด้วยตัวเอง 4 ขั้นตอน

การดูแลผิวสำหรับริ้วรอยที่คอต้องเริ่มที่การดูแลผิว จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการบำรุงผิวเพื่อชะลอความชราของผิวหนังบริเวณคอและป้องกันการหย่อนคล้อย โดยใช้วิธีดังนี้

  • การทาครีมกันแดด ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ที่ทำลายคอลลาเจนและอิลาสติน เพราะแสงแดดเป็นมลภาวะที่ส่งผลให้ผิวคล้ำเสีย ผิวแห้งได้ ครีมกันแดดจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญในการดูแลผิว
  • การทำความสะอาดสิ่งสกปรก สำหรับผู้ที่พบเจอกับสิ่งสกปรกเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น มลภาวะ ฝุ่น ควัน หรือแม้กระทั่งเครื่องสำอาง หากเราทำความสะอาดไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกในผิวของเราได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและเกิดริ้วรอยได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดสีควรทำความสะอาดผิวอย่างเบามือ
  • การทาครีมบำรุงผิว เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการดูแลผิว เพราะในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีสารสกัดมากมายที่มีประโยชน์ต่อผิวของเรา และขั้นตอนการดูแลผิวที่สำคัญอย่าละเลยการบำรุงบริเวณลำคอเป็นอันขาด เพราะผิวบริเวณคอนั้นบอบบางและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยเช่นเดียวกับผิวหน้าได้

ทำศัลยกรรมดึงคอเพื่อแก้ไขปัญหาคอเหี่ยวย่นด้วยการผ่าตัดขนาดเล็ก

การทำศัลยกรรมดึงคอเพื่อแก้ไขปัญหา คอเหี่ยว ย่นด้วยการผ่าตัดขนาดเล็ก คือกระบวนการที่นำเอาเทคนิคการผ่าตัดมาช่วยแก้ไขปัญหาคอเหี่ยวย่น โดยการใช้เทคนิคนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บปวดและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด และช่วยลดเวลาการฟื้นตัวของผู้ป่วย อย่างไรก็ตามการผ่าตัดเพื่อดึงคอยังคงเป็นกระบวนการที่มีความเสี่ยงสูงและต้องการเวลาฟื้นตัวนานกว่าเทคนิคการผ่าตัดขนาดเล็ก

ดังนั้น การใช้เทคนิคการผ่าตัดนี้เหมาะกับผู้ป่วยบางคนที่มีปัญหาคอเหี่ยวย่นที่ไม่มากนัก และมีความต้องการในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว มักจะใช้เทคนิคการทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอเรียบเนียนขึ้น โดยการนำเส้นไหม หรือการใช้อุปกรณ์เลเซอร์เพื่อย่อตัวเส้นเลือดที่อยู่รอบคอ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการใช้เข็มที่มีไฟฟ้าผ่านไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา ทั้งนี้การทำศัลยกรรมดึงคอเพื่อแก้ไขปัญหาคอเหี่ยวย่นด้วยการผ่าตัดขนาดเล็กต้องได้รับการดูแลและติดตามการฟื้นตัวจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้เข้ารับบริการ

แก้ไขปัญหาคอเหี่ยวย่น

การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรมดึงคอ

หลังจากที่ได้ทำการผ่าตัดดึงคอ เพื่อให้สามารถรับประทานอาหารและเครื่องดื่มได้ตามปกติ การดูแลตัวเองให้ดีหลังจากผ่าตัดเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและการฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

  1. รักษาแผล: จำเป็นต้องรักษาแผลที่เปิดไว้หลังจากผ่าตัดดึงคอให้ดี โดยทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่เหลว และใช้ยาเจลหรือสารที่ช่วยให้แผลหายได้เร็ว ๆ
  2. พักผ่อนให้เพียงพอ: หลังจากผ่าตัดดึงคอ จำเป็นต้องให้ร่างกายพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น และหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหนักๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์
  3. การบริหารจัดการความปวด: อาจจะมีความเจ็บปวดหลังผ่าตัด ดังนั้นจำเป็นต้องดูแลการบริหารจัดการความปวดอย่างระมัดระวัง โดยอาจจะใช้ยาแก้ปวดที่แพทย์สั่งให้ หรือใช้หมอนรองคอที่มีความอ่อนนุ่มเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวด
  4. รับประทานอาหารที่เหมาะสม: การรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอและเหมาะสมสำหรับการฟื้นฟูร่างกายหลังผ่าตัดดึงคอ เช่น อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ปลา ไก่ ไข่ ถั่ว และผักสด รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีวิตามิน C เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูแผล
  5. การออกกำลังกาย: หลังผ่าตัดดึงคอ อาจจะไม่สามารถออกกำลังกายได้เลย แต่หลังจากที่ผ่าตัดผ่านไป 2-3 สัปดาห์แล้ว อาจจะเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินเร็ว ๆ หรือโยคะ โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มออกกำลังกาย
  6. อย่าสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้แผลหายได้ช้าและเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อน ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2-3 สัปดาห์หลังจากการผ่าตัด
  7. ติดตามการรักษาอย่างเคร่งครัด: หลังจากที่ผ่าตัดดึงคอแล้ว จำเป็นต้องติดตามการรักษาอย่างเคร่งครัดโดยหมอผู้ทำการผ่าตัด และปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือกลับสู่สภาวะที่ผ่านมาได้อีกครั้ง